4.1 บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การติดต่อสื่อสารเป็นการพูดคุยหรือส่งข่าวสารกันของมนุษย์
ซึ่งเป็นการแสดงออกด้วยท่าทาง การใช้ภาษาพูดหรือผ่านทางตัวอักษร โดยส่วนใหญ่เป็นการสื่อสารในระยะใกล้
ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นมีการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับใช้ในการสื่อสาร
ทำให้สามารถสื่อสารได้ในระยะไกลและสะดวดรวดเร็วมากขึ้น เช่น โทรเลข โทรศัพท์
และการสื่อสาร
สำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า ระบบเครือข่าย (network system) มีการพัฒนาให้ดีขึ้นเป็นลำดับ
จากในอดีตการใช้งานคอมพิวเตอร์จะเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น เมนเฟรม
การใช้งานจะมีการเชื่อมต่อไปยังเครื่องปลายทางหรือเทอร์มินัล (terminal) หลายเครื่อง
ซึ่งถือว่าเป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์กับเทอร์มินัลในยุคแรก
ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาไมโครคอมพิวเตอร์หรือพีซี
ซึ่งมีขีดความสามารถในด้านความเร็วการทำงานสูงขึ้น
และมีราคาต่ำลงมากเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ทำให้การใช้งานแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
และมีความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเข้าด้วยกัน
นอกเหนือจากการเชื่อมต่อเทอร์มินัลเข้ากับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่
และได้มีการกำหนดมาตรฐานกลางที่ใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่มาจากผู้ผลิตต่างกัน
ใช้สามารถติดต่อถึงกันได้ เกิดจากใช้งานระบบเครือข่ายที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน
เช่น การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน หรือการใช้ทรัพยากรร่วมกัน ทำให้เกิดความสะดวก
และรวดเร็วในการใช้งานมากขึ้น
การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ก่อให้เกิดประโยชน์ดังนี้
1.
ความสะดวกในการแบ่งปันข้อมูล
2.
ความถูกต้องของข้อมูล
3.
ความเร็วของการรับส่งข้อมูล
4.
การประหยัดค่าใช้จ่ายในการสื่อสารข้อมูล
5.
ความสะดวกในการแบ่งปันทรัพยากร
6.
ความสะดวกในการประสานงาน
7.
ขยายบริการขององค์กร
8.
การสร้างบริการรูปแบบใหม่บนเครือข่าย
4.2 การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
หมายถึง การแลกเปลี่ยนข้อมูล/ข่างสารโดยผ่านทางสื่อกลางในการสื่อสาร
ซึ่งอาจเป็นสื่อกลางประเภทที่มีสายหรือไร้สายก็ได้
องค์ประกอบพื้นฐานของระบบสื่อสารข้อมูล ประกอบด้วย
1.
ข้อมูล/ข่าวสาร (data/message) คือ ข้อมูลหรือสารสนเทศต่างๆ
ที่ต้องการส่งไปยังผู้รับโดยข้อมูล/ข่าวสารอาจประกอบด้วยข้อความ ตัวเลข รูปภาพ
เสียง วีดิทัศน์ หรือสื่อผสม
2.
ผู้ส่ง (Sender) คือ
คนหรืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับส่งข้อมูล/ข่าวสาร ซึ้งอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์
โทรศัพท์ กล้องวีดิทัศน์ เป็นต้น
3.
ผู้รับ (Receiver) คือ
คนหรืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับรับข้อมูล/ข่าวสารที่ทางผู้ส่งข้อมูลส่งให้
ซึ้งอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็นต้น
4.
สื่อกลางในการรับส่งข้อมูล (Transmission Media) คือ
สิ่งที่ทำหน้าที่ในการรับส่งข้อมูล/ข่าวสารไปยังจุดหมายปลายทาง
โดยสื่อกลางในการส่งข้อมูลจะมีทั้งแบบสาย เช่น สายเคเบิล สายยูทีพี
สายไฟเบอร์ออพติก และสื่อกลางในการส่งข้อมูลแบบไร้สาย เช่น คลื่นวิทยุ
ไมโครเวฟและดาวเทียม
5.
โพรโทคอล (Protocol) คือ กฎเกณฑ์ ระเบียบ หรือข้อปฏิบัติต่างๆ ที่กำหนดขึ้นมาเพื่อเป็นข้อตกลงในการสื่อสารข้อมูลระหว่างผู้รับและผู้ส่ง
4.2.1 สัญญาณที่ใช้ในระบบสื่อสาร แบ่งออกเป็น2ประเภทคือ สัญญาณแอนะล็อก
(analog signal)และสัญญาณดิจิทัล (digital signal) สัญญาณแอนะล็อกเป็นสัญญาณที่มีขนาดแอมพริจูด (amplitude) ที่เปลี่ยนแปลงตามเวลาและเป็นค่าต่อเนื่อง เช่น เสียงพูด และเสียงดนตรี
ส่วนสัญญาณดิจิทัลเป็นสัญญาณที่ไม่มีความต่อเนื่องที่เรียกว่า ดีสครีต (Discrete) สัญญาณดิจิทัลถูกแทนด้วยระดับแรงดันไฟฟ้าสองระดับเท่านั้นโดยแสดงสถานะเป็น
“0” และ “1”ซึ้งตรงกับรหัสตัวเลขฐานสอง
4.2.2การถ่ายโอนข้อมูล เป็นการส่งสัญญาณออกจากอุปกรณ์ส่ง
ไปยังอุปกรณ์รับ โดยจำแนกได้ 2 แบบ คือ
1) การถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน ทำได้โดยการส่งข้อมูลออกมาทีละหลายบิตพร้อมกันจากอุปกรณ์รับ
ผ่านสื่อกลางนำสัญญาณที่มีช่องทางส่งข้อมูลหลายช่องทาง โดยทั่วไปจะเป็นสายนำสัญญาณหลายๆเส้นที่มีจำนวนสายส่งสัญญาณเท่ากับจำนวนบิตที่ต้องการส่งในแต่ละครั้ง
นอกจากการส่งข้อมูลหลักที่ต้องการแล้ว อาจมีการส่งข้อมูลอื่นเพิ่มเติมไปด้วย เช่น
บิตพาริตี (Parity
Bit) ใช่ในการตรวจสอบความผิดพลาดของการรับสัญญาณที่ปลายทาง หรือสายที่ควบคุมการตอบโต้
เพื่อควบคุมจังหวะการรับ-ส่งข้อมูลแต่ละชุด
2) การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม ในการถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม
ข้อมูลจะถูกส่งออกมาทีละบิต ระหว่างจุดรับและจุดส่ง
ถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรมต้องการสื่อกลางสำหรับการสื่อสารเพียงช่องเดียวหรือเพียงคู่สายเดียว
ค่าใช้จ่ายในด้านของสายสัญญาณจะถูกกว่าแบบขนานสำหรับการส่งระยะทางไกลๆ
4.2.3 รูปแบบการรับ-ส่งข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการรับ-ส่งข้อมูลแบบขนานและอนุกรมสามารถแบ่งได้เป็น
3 แบบดังนี้
1)
การสื่อสารทางเดียว (Simplex Transmission)
ข้อมูลสามารถส่งได้ทางเดียวโดยแต่ละฝ่ายจะทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
เป็นผู้รับและผู้ส่ง บางครั้งเรียกการสื่อสารแบบนี้ว่าการส่งทิศทางเดียว (Unidirectional Transmission) เช่น การกระจายเสียงของสถานีโทรทัศน์หรืสถานีวิทยุ
2)
การสื่อสารสองทางครึ่งอัตรา (Half duplex Transmission) สามารถส่งข้อมูลได้ทั้งสองฝ่าย
แต่จะต้องผลัดกันส่งผลัดกันรับ จะส่งและรับพร้อมกันไม่ได้ เช่น วิทยุสื่อสาร (Walkie-Talkie Radio)
3)
การสื่อสารสองทางเต็มอัตรา (Full duplex Transmission)
สามารถส่งข้อมูลได้สองทางโดยที่ผู้รับและผู้ส่งสามารถรับข้อมูลได้ในเวลาเดียวกัน
เช่น การสนทนาทางโทรศัพท์
4.3 สื่อกลางในการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารทุกชนิดต้องอาศัยสื่อกลางในการส่งผ่านข้อมูลเพื่อนำข้อมูลไปยังจุดหมายปลายทาง
เช่น การคุยโทรศัพท์อาศัยสายโทรศัพท์เป็นสื่อกลางในการส่งสัญญาณคลื่นเสียงไปยังผู้รับเป็นต้นสำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์อาจใช้สายเชื่อมต่อผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อหรืออาจใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อแบบไร้สายเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อก็ได้สื่อกลางในการสื่อสารมีความสำคัญเพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่กำหนดประสิทธิภาพในการสื่อสาร
เช่น ความเร็ว ในการส่งข้อมูล ปริมาณของข้อมูล ที่สามารถนำไปได้ในหนึ่งหน่วยเวลา
รวมถึงคุณภาพของการส่งข้อมูล
เราจะกล่าวถึงสื่อกลางในการสื่อสารทั้งในแบบใช้สายและแบบไร้สายดังนี้
4.3.1 สื่อกลางแบบใช้สาย
1) สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pair Cable) สายนำสัญญาณแบบแต่ละค่สายที่เป็นสายทองแดงจะถูกพันบิดเป็นเกลียว
เพื่อลดการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากคู่สายข้างเคียงภายในสายเดียวกัน
ทำให้สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสายคู่บิดเกลียวมี2ชนิด คือ
- สายคู่บิดเกลียวแบบไม่ป้องกันสัญญาณรบกวน
- สายคู่บิดเกลียวแบบป้องกันสัญญาณรบกวน
2) สายโคแอกซ์ (Coaxial Cable) เป็นสายที่เรารู้จักกันดี โดยใช้กับเสาอากาศที่นำสัญญาณมาให้ทีวี
3) สายไฟเบอร์ออพติก(Fiber-Optic Cable) ประกอบด้วยกลุ่มของเส้นใยทำจากแก้วหรือพลาสติกที่มีขนาดเล็กประมาณเส้นผม
4.3.2 สายสื่อกลางแบบไร้สาย การสื่อสารแบบไร้สายอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสื่อกลางนำสัญญาณ
ซึ่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถนำมาใช้ในการสื่อสารหลายชนิด
แบ่งตามช่วงความถี่ที่แตกต่างกัน เนื่องมีความคล่องตัวสูงและสะดวกสบาย มีดังนี้
1) อินฟราเรด สื่อกลางประเภทนี้มักใช้การสื่อสารข้อมูลที่ไม่มีสิ่งกีดขวางระหว่างตัวส่งและตัวรับสัญญาณ
2) ไมโครเวฟ เป็นสื่อกลางในการสื่อสารที่มีความเร็วสูง
ใช้สำหรับการเชื่อมต่อระยะไกล โดยการส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปในอาการพร้อมกับข้อมูลที่ต้องการส่ง
3) คลื่นวิทยุ เป็นสื่อกลางที่ใช้ส่งข้อมูลไปในอากาศ สามารถส่งในระยะใกล้และไกล
4) ดาวเทียมสื่อสาร พัฒนาขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของสถานีรับส่งไมโครเวฟบนผิวโลก
4.4 เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
(Computer Network) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้ากันเพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลและทรัพยากรร่วมกัน
เครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นประเภทตามพื้นที่ที่ครอบคลุมการใช้งานเครือข่าย
ดังนี้
1.
เครือข่ายส่วนบุคคล
หรือแพน (Personal Area Network : PAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ส่วนบุคคล
2.
เครือข่ายเฉพาะที่หรือแลน
(Local Area Network : LAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมโยง
คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือใกล้กัน
3.
เครือข่ายนครหลวงหรือแมน
(Metropolitan Area Network :
MAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ใน
การเชื่อมโยงแลนที่ไกลออกไป
4.
เครือข่ายวงกว้างหรือแวน
(Wide Area Network : WAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมโยง
กับเครือข่ายอื่นที่อยู่ไกลจากกัน
4.4.1 ลักษณะเครือข่าย ในการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกันสามารถแบ่งลักษณะของเครือข่ายตามบทบาทของเครื่องคอมพิวเตอร์ในการสื่อสารได้ดังนี้
1. เครือข่ายแบบรับหรือให้หริการ (Client-Server
Network)
2. เครือข่ายระดับเดียวกัน (Peer-to-Peer
Network: P2P Network)
4.4.2 รูปร่างของเครือข่าย
1. เครือข่ายแบบบัส (Bus Topology)
เป็นรูปแบบที่มีเค้าโครงไม่ยุ่งยาก
2. เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Topology) เป็นการเชื่อมแต่ละสถานีเข้าด้วยกัน
3. เครือข่ายแบบดาว (Star Topology) เป็นการเชื่อมต่อสถานีในเครือข่ายโดยทุกสถานีจะต่อเข้ากับหน่วยสลับสายกลาง
4. เครือข่ายเมช (Mesh Topology)
เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อที่มีความนิยมมากและมีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากถ้ามีเส้นทางการเชื่อมต่อคู่ใดคู่หนึ่งขาดออกจากกัน
การติดต่อสื่อสารระหว่างคู่นั้นยังสามารถติดต่อได้โดยอุปกรณ์จัดเส้นทาง ()
จะทำการเชื่อมต่อเส้นทางใหม่ไปยังปลายทาง
4.5 โพรเทคอล
การเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์
และอุปกรณ์เครือข่ายที่ผลิตจากผู้ผลิตหลายรายผ่านทางระบบเครือข่ายชนิดต่างๆกัน
ไม่สามารถเชื่อมต่อโดยตรงกันได้ เช่น
การติดต่อสื่อสารระหว่างเมนเฟรมของบริษัทไอบีแอ็ม (IBM
Mainframe) ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยตรงกับเครื่องแมคอินทอชของบริษัทแอปเปิล
(Apple Macintosh) ดังนั้นต้องมีการเปลี่ยนรูปแบบของข้อมูลที่ส่งและกำหนดมาตรฐานทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
เพื่อให้อุปกรณ์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยมีองค์กรกลาง เช่น IEEE , ISO และ ANSI เป็นผู้กำหนดมาตรฐานขึ้นมา
สำหรับโพรโทคอลที่ใช้เป็นมาตรฐานในการสื่อสารแบบใช้สาย
และแบบไร้สาย ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น


4.6 อุปกรณ์การสื่อสาร
อุปกรณ์การสื่อสาร (Communication Devices)
ทำหน้าที่รับและส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ส่งและรับข้อมูล
โดยมีการส่งผ่านตัวกลางดังที่กล่าวมา
การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายมีหลายแบบด้วยกัน
เช่น การต่อผ่านโทรศัพท์บ้าน การต่อผ่านเคเบิลทีวี
การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบใช้สายและไร้สาย
ซึ่งจำเป็นต้องมีอุปกรณ์สนับสนุนในการเชื่อมต่อในแต่ละแบบ
อุปกรณ์การสื่อสารประเภทต่างๆ ที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เช่น
1)
โมเด็ม(Modem) เป็นอุปกรณ์ที่แปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นสัญญาณแอนะล็อก และแปลง
สัญญาณแอนะล็อกเป็นดิจิทัลเพื่อให้ข้อมูลส่งผ่านสายโทรศัพท์ได้
โมเด็มแบ่งตามลักษณะการใช้งานได้ดังนี้
1.1
โมเด็มแบบหมุนโทรศัพท์
(Dial-up Modem) เป็นโมเด็มที่ใช้ต่อเข้ากับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านทางสายโทรศัพท์
การเชื่อมต่อใช้วิธีการหมุนโทรศัพท์
1.2
ดิจิทัลโมเด็ม (Digital Modem) เป็นโมเด็มที่ใช้รับและส่งข้อมูลผ่านสายเชื่อมสัญญาณแบบดิจิทัล การเชื่อมต่อโมเด็มแบบนี้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องหมุนโทรศัพท์ไปที่ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
2)
การ์ดแลน (LAN care) เป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมระหว่างคอมพิวเตอร์กับสายตัวนำสัญญาณทำให้
คอมพิวเตอร์สามารถรัยและส่งข้อมูลกับระบบเครือข่ายได้
3)
ฮับ (Hub) เป็นอุปกรณ์ที่รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่งหรือเครื่องหลาย ๆ
เครื่องเข้า
ด้วยกัน ข้อมูลที่รับส่งผ่านฮับจากเครื่องหนึ่งจะกระจายไปยังทุกสถานีที่ต่ออยู่บนฮับนั้น
4)
สวิตช์ (Switch) เป็นอุปกรณ์รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่งหรือเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย
เครื่องเช่นเดียวกับฮับ แต่มีข้อแตกต่างจากฮับ
คือการรับส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ตัวหนึ่งจะไม่กระจายไปยังทุกจุดเหมือนฮับ
ทั้งนี้เพราะสวิตช์จะรับกลุ่มข้อมูลมาตรวจสอบก่อนว่าเป็นของคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ใดแล้วนำข้อมูลนั้นส่งต่อไปยังคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เป้าหมาย
5)
อุปกรณ์จัดเส้นทาง
(Router) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานในการเชื่อมโยงเครือข่าย หลายเครือข่ายเข้าด้วยกัน
ดังนั้น จึงมีเส้นทางการเข้าออกของข้อมูลได้หลายเส้นทาง
6)
จุดเชื่อมต่อแบบไร้สาย
(Wireless Access Point) ทำหน้าที่คล้ายกับฮับของเครือข่ายแบบใช้สายเพื่อใช้สำหรับ
ติดต่อสื่อสารระหว่างอุปกรณ์แบบไร้สายโดยจะต้องใช้งานร่วมกับการ์ดแลนไร้สายที่ติดตั้งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์
4.7 ตัวอย่างการติดตั้งแลนภายในบ้าน
การติดตั้งแลนภายในบ้านอย่างง่าย
สามารถทำโดย เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อย่างน้อย
สองเครื่องเข้าด้วยกันโดยผ่านสวิตช์และทำการปรับตั้งค่าของ โพรโทคอล
การสื่อสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ที่อยู่ของไอพีของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง จะทำให้คอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารข้อมูลกันได้
และถ้าต้องการเชื่อมต่อแลนดังกล่าว
เข้ากับอินเตอร์เน็ตจะต้องทำการเชื่อมต่อสวิตช์เข้ากับอุปกรณ์จัดเส้นทาง
จากนั้นผู้ใช้งานจะสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์จัดเส้นทางเข้ากับอินเตอร์เน็ตได้โดยขอใช้บริการจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น